Home Knowledge ตำนานปีศาจเหนียน ในวันตรุษจีนและปีมังกร (ตามตำรานักษัตร)

ตำนานปีศาจเหนียน ในวันตรุษจีนและปีมังกร (ตามตำรานักษัตร)

ตำนานปีศาจเหนียน ในวันตรุษจีนและปีมังกร (ตามตำรานักษัตร)

ตำนานปีศาจเหนียน ในวันตรุษจีนและปีมังกร (ตามตำรานักษัตร) ตรุษจีนปี 2555 นี้นับว่ายิ่งใหญ่กว่าธรรมดาเพราะว่าเป็นปีแห่งงูใหญ่ (มะโรง) ตามตำรานักษัตรงูใหญ่นั้นก็คือ “มังกร” สัตว์ที่มีอิทธิฤทธิ์ และเป็นที่นับถือของพี่น้องชาวจีน แต่ก่อนอื่นเรามาอ่านเรื่องกำเนิดของเทศกาลตรุษจีน และตำนานของอสุรกันก่อน

อสุรสัตว์ที่ว่านี้มีนามกรว่า “เหนียน” บางตำนานว่ามันอาศัยอยู่ในป่าทึบแต่บางตำนานก็บอกว่ามันเป็นสัตว์ในทะเล แหมก็ตำนานเหล่านี้มีมาแต่โบราณกาลแล้วนี่ ก็อาจแตกต่างผิดเพี้ยนกันไปบ้างแต่ที่ตรงกันคือมันเป็นสัตว์ดุร้ายมากชอบออกมาจับกินวัวควาย สัตว์เลี้ยงตลอดจนถึงผู้คนทำให้ชาวบ้านหวาดผวายิ่งนัก ทว่ายังดีที่ปีหนึ่งมันจะโผล่มาอาละวาดแค่วันเดียวอันเป็นวันสิ้นปี นับว่าเทพประทานอนุญาตให้แค่นั้น

ด้วยเหตุฉะนี้ พอถึงวันสิ้นปีชาวบ้านก็จะปิดประตูหน้าต่างมิดชิด โดยสะสมเสบียงอาหารและจะไม่ออกจากบ้านจนกว่าปีใหม่จะผ่านพ้นไป หลายรายอุ้มลูกจูงหลานไปซ่อนตัวอยู่ในป่า หรือบนภูเขาให้พ้นภัยจากปีศาจเหนียน ซึ่งว่ากันว่ารูปร่างมันน่ากลัวที่หัวมีขนรุงรัง

กระทั่งในปีหนึ่งได้มีขอทานเฒ่าผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นในหมู่บ้าน ไว้หนวดเคราขาว ใบหน้าสดใสมีเลือดฝาด ตาเป็นประกาย เรียกว่าท่าทางภูมิฐานมีวิชาอาคม แต่ชาวบ้านมิได้สนใจขอทานเฒ่าเพราะต่างคนก็มัวแต่เก็บข้าวของหนีภัยเจ้าอสุร มีแต่เพียงยายแก่คนเดียวที่ให้ขอทานเฒ่ากินอาหาร และพำนักอาศัยในบ้าน แต่ตัวยายแก่เองก็กลับหนีไปอาศัยอยู่บนเขา

เหนียน
เหนียน

ตกกลางคืน อสุร สัตว์เหนียนก็มาเยือนตามปกติของวันสิ้นปี มันพบว่าบ้านส่วนใหญ่เงียบเชียบราวกับบ้านร้างแต่มีอยู่หลังหนึ่งซึ่งมีกระดาษแดงแปะอยู่เหนือประตู แถมในบ้านยังมีแสงเทียนสว่างไสวพอเห็นดังนั้นมันก็ตกใจจนตัวสั่น แต่ฉับพลันมันก็กลับวิ่งรี่เข้าใส่บ้านนั้นอย่างโกรธแค้น ทว่าเจ้าปีศาจก็ต้องเผชิญกับเสียงประทัดดังปึงปังสว่างไสวทำให้มันต้องร้องลั่นด้วยความหวาดกลัว และเผ่นหนีออกจากหมู่บ้านไปโดยไม่หวนคืนกลับมาอีกเลย โดยมีขอทานเฒ่ายืนมองหัวเราะชอบใจอยู่เบื้องหลัง

และตั้งแต่นั้นมาชาวบ้านก็รู้ว่าอันที่จริงเจ้าปีศาจนั้นกลัวสีแดง แสงไฟ และเสียงดัง พอถึงวันสิ้นปีแต่ละบ้านก็จะประดับบานประตูด้วยกระดาษแดง แขวนโคมไฟสีแดง และมีการจุดประทัดกันสนั่นหวั่นไหวเกรียวกราว เพื่อขับไล่เจ้าปีศาจเหนียนนั่นเอง เมื่อคืนสิ้นปีผ่านไปโดยปลอดภัยอันตราย ชาวบ้านก็ออกมาฉลองวันปีใหม่กันอย่างคึกคัก แสดงความยินดีต่อกันและไปเยี่ยมเยือนญาติสนิทมิตรสหาย จนกลายเป็นประเพณีสืบเนื่องมาจนทุกวันนี้

เพื่อให้ในวันตรุษจีนนี้มีสิริมงคลยิ่งขึ้น จึงได้มีธรรมเนียมอื่นๆ ประกอบตามขึ้นมาอีก สำหรับปฏิบัติในเทศกาลตรุษจีน อาทิ จะต้องทำตัวดีๆ ไม่พูดคำหยาบคายหรือคำที่เกี่ยวข้องกับความตาย ภูตผีปีศาจ หาแต่ถ้อยคำอันเป็นมงคลมาพูดกันเด็กๆ ทั้งหลายย่อมไม่ร้องไห้งอแงและไม่ซุกซน (ไม่งั้นจะโดนหวดก้น) แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าที่สะอาดสะอ้าน โดยเฉพาะที่เป็นสีแดงแต่ก็แปลกที่ห้ามสระผมในวันนี้ รวมทั้งยังมีข้อห้ามอื่นๆ อีกบางประการด้วย เช่นว่า ห้ามเข้าไปในห้องนอนคนอื่น ไม่ควรใช้ของมีคมอย่างมีดหรือกรรไกร (ถ้าพลาดพลั้งเป็นแผลก็จะไม่เป็นมงคลสำหรับวันสำคัญเยี่ยงนี้) ว่าไปแล้วการทำตัวดีๆ นี้ก็เป็นธรรมเนียมของเทศกาลปีใหม่ทุกหนแห่ง ดูอย่างวันคริสต์มาสของฝรั่งก็ยังมีคำสอนอยู่ในเนื้อเพลง ซานตาคลอสมาเยี่ยมเมือง (Santa Claus is coming to Town) ที่ว่า You better watch out. You better not cry. You better not pout. I’m telling you why. Santa Claus is coming to Town. แปลคร่าวๆ ได้ว่า หนูๆ จะต้องระมัดระวังตัวให้ดี อย่าร้องไห้อย่าทำหน้าเง้าหน้างอทำไมรู้มั้ย เพราะซานตาคลอสกำลังจะเข้ามาในเมือง

ประเพณีแห่มังกรในเทศกาลตรุษจีน

ประเพณีแห่มังกรในเทศกาลตรุษจีน การจุดประทัดนั้นมีที่มาจากการขับไล่ปีศาจ ส่วนของขวัญที่จะมอบให้กันในวันตรุษจีนนั้น ก็ได้แก่ซองสีแดงๆ บรรจุเงินไว้ข้างในที่เรียกว่า “อั่งเปา” สำหรับผู้ใหญ่มอบให้ผู้น้อยหรือถ้าหากผู้ใหญ่ลืมให้ลูกหลานก็อาจร้องเตือนว่า “แตะเอียหน่อยครับ/ค่ะ ที่จริง “แตะเอีย” นั้นแปลว่า “ผูกเอว” กล่าวคือ สมัยโบราณนั้นเงินเหรียญจะมีรูตรงกลางเมื่อให้หลายๆ อันก็จะเอาเชือกแดงร้อยไว้ซึ่งเด็กก็จะเอามาผูกเอวจึงเรียกกันมาตามนั้น

สำหรับเทศกาลตรุษจีนของไทยเรานั้นมีธรรมเนียมถือปฏิบัติอยู่ 3 วัน ได้แก่
วันจ่าย คือก่อนจะถึงวันสิ้นปีจะออกไปหาซื้ออาหาร และเครื่องดื่มเซ่นไหว้ต่างๆ มาเตรียมไว้ เพราะถ้าช้าเกินไปจะหาซื้อไม่ได้ เนื่องจากบรรดาร้านค้าทั้งหลายจะปิดยาวตลอดเทศกาล
วันไหว้ แบ่งเป็นเช้า-มืดจะไหว้เทพเจ้าต่างๆ ตอนสายไหว้บรรพบุรุษ และตอนบ่ายไหว้พี่น้องที่ถึงแก่กรรม
วันเที่ยว คือวันขึ้นปีใหม่ที่จะต้องฉลองรื่นเริงซึ่งนอกจากไปเที่ยวตามที่ต่างๆ แล้วก็ยังถือโอกาสไปกราบไหว้ขอพรญาติผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ

มังกร

ทีนี้ก็มาถึงเรื่องของ “มังกร” สัตว์ประจำปีที่ 12 ปีถึงจะเวียนมาหนึ่งครั้ง มังกรจีน ตัวแทนแห่งความดีงาม กล้าหาญ มีคุณธรรม ปีมะโรงนั้นเมืองไทยถือว่า “งูใหญ่” ก็คือพญานาคสัตว์ตระกูลสูงที่เราเคยเห็นภาพกันจนชินตา โดยเฉพาะตามบันไดวัดวาอารามต่างๆ แต่ทางจีนจะเรียกมะโรงว่าเป็น “มังกร” สัตว์ที่มีลักษณะของสัตว์อื่นๆ ผสมกัน เช่น ลำตัวยาวเหมือนงู มีเขี้ยวใหญ่ หนวดยาว มีขนเป็นแผงคอดุจสิงโต ลำตัวมีเกล็ดเขียวรวม 117 เกล็ด สันหลังเป็นหนามทอดยาวจากหัวถึงหาง ขาทั้ง 4 มีกรงเล็บแข็งแรง แม้ลักษณะของมังกรจีนจะดูทรงพลังศักดิ์สิทธิ์ และน่ากลัวแต่แท้จริงแล้วมีความใจดีใจบุญ และเป็นมิตรมากกว่าเป็นศัตรู ต่างจากมังกรของฝรั่งตะวันตกจะหมายถึงสัตว์ทรงพลัง แถมบินและพ่นไฟได้ หากทว่านิสัยดุร้าย ขี้หงุดหงิด อาละวาด จนต้องมีอัศวินฝีมือมาปราบอย่างที่เห็นในหนังหรือตามตำนานทั่วไป

ดังนั้นคนจีนจึงรักเคารพและสักการะมังกรอย่างสูงสุด ถือว่าเป็นตัวแทนแห่งความดีงาม ความกล้าหาญ มีคุณธรรม จึงให้ความนับถือดุจเทพเจ้าเลยทีเดียว คนจีนมีความเชื่อว่า ฮ่องเต้ นั้นสืบทอดเชื้อสายมาจากมังกรบนสรวงสวรรค์ จึงใช้สัญลักษณ์มังกรแทนองค์จักรพรรดิ ในงานเทศกาลตรุษจีนของทุกปี นอกจากจะมีการเชิดสิงโต ตีกลอง จุดประทัด เพื่อขับไล่ปีศาจเหนียนแล้ว ยังมีประเพณีแห่มังกรเป็นการเฉลิมฉลองยิ่งใหญ่ตระการตาที่สืบทอดกันมานานกว่าสองพันปีแล้ว

เมื่อมังกรมีความสำคัญมากคนจีนจึงนิยมที่จะให้ลูกหลานถือกำเนิดในปีมังกร โดยเชื่อมั่นว่าเด็กที่เกิดในปีนี้จะโชคดีมีวาสนาสุขภาพแข็งแรง อายุยืนยาว ด้วยเหตุนี้ ปีมะโรง 2555 จึงคาดว่าจะมีทารกถือกำเนิดจำนวนมากกว่าปีอื่นๆ ให้ปู่ยาตายาย อากงอาม้า สมหวังปลาบปลื้มใจไปตามกัน สำหรับเทศกาลตรุษจีนปีนี้ ขออวยพรทุกท่าน “ซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวดไช้” (新正如意 新年发财) และขอให้ทุกท่านโชคดี มั่งมีปีใหม่ ขอบคุณบทความ คอลัมน์ไทยรัฐซันเดย์สเปเชียล โดยทีมงานนิตยสารต่วยตูน

Exit mobile version